การวิเคราะห์ด้วยปัจจัยเทคนิคหรือ Technical Analysis เกิดขึ้นมานานเกินศตวรรษแล้ว แต่ก็ยังมีข้อถกเถียงและโดนการแบ่งฝักแบ่งฝ่ายแบ่งสายกัน โดยเฉพาะจากนักลงทุนแนวพื้นฐาน ว่าสายเทคนิค เน้นการเก็งกำไรระยะสั้น เป็นพวกดูกราฟ ไม่เห็นใครรวยจากการดูกราฟบ้างล่ะ จากประสบการณ์ตรงที่เคยทำงานฝ่ายวิเคราะห์ในบริษัทหลักทรัพย์ หัวหน้าแผนกตอนนั้น ดูแคลนเทคนิคมาก ภายหลังหัวหน้าคนนั้นโดนย้ายเนื่องจากผลงานไม่เข้าตาผู้บริหาร เพราะแนะนำหุ้นโดยไม่มีจังหวะเทคนิคเข้ามาช่วยเลย โดนลูกค้าและมาร์เก็ตติ้งต่อว่าอย่างแรง
ในฐานะนักลงทุน ควรจะมองสิ่งเหล่านี้เป็นเครื่องมือในการวิเคราะห์ จะหยิบไปใช้อย่างไรก็ขึ้นอยู่กับแนวทาง ความสะดวก และสไตล์การเทรดของเรา จะเลือกใช้อย่างใดอย่างหนึ่งหรือผสมผสานกันก็ได้ การวิเคราะห์ปัจจัยเทคนิคนั้น คือ การดูแนวโน้ม โดยศึกษาพฤติกรรมราคา และ ปริมาณการซื้อขาย โดยเชื่อว่ากราฟราคานั้นสะท้อนทุกสิ่งอย่างไม่ว่าจะเป็นข้อมูลข่าวสารใด ๆ ออกมาหมดแล้ว
ส่วนการวิเคราะห์ด้วยปัจจัยพื้นฐาน หรือ Fundamental Analysis มีสองแบบหลัก ๆ ได้แก่ บนลงล่าง มองภาพเศรษฐกิจมหภาคระดับโลก Megatrend เศรษฐกิจภายในประเทศ อุตสาหกรรม ลงมาจนถึงตัวบริษัท และ ล่างขึ้นบน คือการเจาะและวิเคราะห์งบการเงินของกิจการ เพื่อหามูลค่าที่เหมาะสม นั่นเอง
สิ่งที่ผู้เขียนเห็นว่าเทคนิคดีกว่าพื้นฐานด้วยเหตุผลดังนี้
.
1. ประหยัดเวลาในการวิเคราะห์ เพราะสะท้อนพื้นฐานออกมาหมดแล้ว
.
การดูกราฟนั้นถ้าเข้าใจแล้วดูไม่ยาก ดูแว๊บเดียวจะเห็นแนวโน้มราคาแล้ว จะกรองตัวที่ไม่ใช่แนวโน้มขาขึ้น หรือ Sideways ออกไปได้อย่างง่ายดาย ในส่วนของพื้นฐานนั้นต้องตามข่าว ตามตัวเลขทางเศรษฐกิจ หรือ รอตัวเลขเก็งงบ การศึกษาและการติดตามปัจจัยทางเศรษฐกิจระดับมหภาคไม่ใช่เรื่องง่าย และ ต้องใช้เวลา บางทีฟังนักวิเคราะห์คุยกันตั้งนาน สรุปว่าจะต้องทำอย่างไร ค่อนข้างเสียเวลา
.
2. ใช้ได้กับทุกผลิตภัณฑ์การลงทุน
.
ถ้าท่านศึกษาพื้นฐานกิจการด้วยการดูงบการเงิน และหามูลค่าที่เหมาะสมเป็น ท่านก็สามารถประยุกต์ใช้ได้กับหุ้นเพียงอย่างเดียวเท่านั้น นำไปใช้วิเคราะห์ฟอเร็กซ์ไม่ได้ จะไปดูงบการเงินบิตคอยน์ก็ไม่มี แต่ถ้าดูกราฟเทคนิคเป็นเปิดกราฟหุ้น กราฟฟอเร็กซ์ กราฟบิตคอยน์มีให้ดูหมด วิเคราะห์กราฟด้วยภาษาเดียวกัน คือ ภาษาเทคนิคอลนั่นเอง
.
3. ราคาสะท้อนข้อมูลข่าวสารออกมาแล้ว พื้นฐานเปลี่ยนใช้เวลา รอ 3 เดือน 1 ปีขึ้นไป
.
ทางเทคนิคจะดูราคา ณ ปัจจุบัน แล้วเชื่อว่าได้สะท้อนข้อมูลข่าวสารทุกอย่างที่เกี่ยวข้องออกมาหมดแล้ว เป็นข้อมูล ณ ตอนนี้ การตัดสินใจจะเป็นปัจจุบัน ในขณะที่การจับจังหวะทางปัจจัยพื้นฐานนั้นค่อนข้างใช้เวลานาน อย่างน้อยก็ 3 เดือน คือ 1 ไตรมาส กว่าจะได้เห็นงบการเงินออกมาทีนึง ค่า PE (Price Earning Ratio) ที่นิยมใช้ช่วยประเมินมูลค่าหุ้น ก็เป็นค่าย้อนหลังคือมองย้อนกลับไปในอดีตนั่นเอง
.
4. ใช้ช่วยวิเคราะห์การเทรดได้ทุก Time Frame สั้นมาก สั้น กลาง ยาว
.
เดย์เทรดเดอร์ หรือ นักเก็งกำไรภายในวันเดียว เป็นการเทรด TF สั้น ๆ เช่น 15 นาที จำเป็นที่จะต้องใช้การดูกราฟเทคนิค ถามว่าใช้พื้นฐานเทรดแบบเดย์ได้ไหม ก็พอจะได้แต่ไม่เหมาะ ในขณะเดียวกัน การลงทุนระยะยาวต้องใช้พื้นฐานดูอย่างเดียวหรือไม่ ตอบเลยว่าไม่จำเป็น จะใช้การดูกราฟเทคนิคเพื่อช่วยจับจังหวะการซื้อขายก็ได้ แนวทางผสมผสานนั้นมีอยู่จริงในแนวทาง CANSLIM คิดค้นโดย William O’Neil ลองไปศึกษากันดู ดังนั้น เทคนิคดีกว่าแน่นอนเพราะใช้ได้ในหลากหลาย Time Frame ครับ
.
5. มีเกณฑ์ในการซื้อ ขาย ชัดเจนและมีหลากหลายแบบ
.
ท่านสามารถใช้เครื่องมือเทคนิคที่หลากหลาย วางแผน กำหนดจุดซื้อ จุดขาย ได้อย่างชัดเจนและมีแบบแผน รวมไปถึง การวางจุดตัดขาดทุน และ การขายทำกำไร ค่อนข้างครบถ้วน ไม่ว่าจะเป็นการซื้อตามแนวโน้ม เมื่อราคาทำจุดสูงสุดใหม่ หรือเมื่อราคาย่อลงมา การดูรูปแบบแท่งเทียน การใช้ชาร์ตแพทเทิร์น ดูรอบด้วยอินดิเคเตอร์ การตัดขาดทุนก็เป็นส่วนสำคัญในการบริหารความเสี่ยง ทางเทคนิคมีหลากหลายวิธีการไม่ว่าจะเป็น Chart Stop, Money Stop, Percentage Stop, Volatility Stop, Time Stop
.
ในส่วนของฝั่ง Fundamental นั้นเชื่อว่าราคาจะกลับไปที่พื้นฐาน เพราะฉะนั้นการวางแผนการลงทุน คือ ทำการซื้อ เมื่อราคาลงมาต่ำกว่าราคาที่ควรจะเป็นตามปัจจัยพื้นฐานพอสมควร แต่ไม่เคยได้ยินว่ามีหลักเกณฑ์อย่างไรในการตัดขาดทุน ส่วนตัวผมคิดว่าเทคนิคอลมีระเบียบแบบแผนแต่ก็แฝงไปด้วยความหลากหลายและยืดหยุ่นกว่าฝั่งพื้นฐานที่ค่อนข้างตายตัวครับ
Leave A Comment