เหตุการณ์ต่าง ๆ ดูเป็นเรื่องง่ายเสมอ เมื่อคำตอบได้ถูกเฉลยออกมาแล้ว ทราบผลลัพธ์เรียบร้อย ทำให้เรารู้สึกว่าปัดโธ่เรื่องแค่นี้ง่ายจะตาย คำพูดที่ได้ยินบ่อย ๆ คือ “รู้งี้”ทำอย่างนี้ดีกว่า หรือ “ฉันว่าแล้ว” ลองสังเกตดู เวลาที่มีข่าวคู่รักดาราเลิกราอย่าร้างกัน จะมีคนคอมเม้นต์ว่า “กูว่าแล้ว คู่นี้ไม่น่าไปกันรอด” ซึ่งถามว่าตอนที่เขาเริ่มต้นแต่งงานกัน เขาอาจจะเม้นต์ว่า คู่นี้เหมาะสมกันก็ได้ แม้แต่สิ่งที่นักเสี่ยงโชครายปักษ์ (หวย) จะนึกเสมอเมื่อหวยออกแล้วว่า “รู้งี้” ซื้อเบอร์โน้น เลขนี้ เชื่อนักใบ้หวยดีกว่ารวยไปแล้ว ถามว่าตอนยืนอยู่หน้าแผงจะเลือกใบไหน? ทำไมกูซื้อแล้วถูกรับประทานทุกที 555

ในส่วนของการเทรดการลงทุนเช่นกัน เคยไหมครับ ย้อนกลับไปดูราคาหุ้นพื้นฐานดี ๆ เอาแค่ 10 ปีที่แล้ว ราคาถูกมากกว่าปัจจุบันมาก ตอนนี้ขึ้นไปแล้วเป็นสิบ ๆ เท่า เป็นร้อยเท่าก็มียกตัวอย่าง หุ้น AOT เดือน ม.ค. 2009 ราคา 1.75 บาท ในขณะที่ตอนนี้สิบปีผ่านไปราคา 68.75 บาท หรือตัวอย่างคลาสสิค คุณป้าซื้อหุ้น SCC ราคา 1 บาท ราคาขึ้นมาเป็นหลายร้อยเท่า “รู้งี้” ฉันน่าจะซื้อไว้บ้าง อยากจะนั่งเครื่องย้อนเวลากลับไปซื้อจริง ๆ

ความคิดเหล่านี้เป็นอคติที่เรียกว่า “Hindsight Bias” หรือ “อคติรู้งี้” ที่หลอกให้คิดว่าเราสามารถทำนายเหตุการณ์ในอนาคตได้ไม่ยาก จากการมองย้อนอดีตที่ผ่านไปแล้ว ซึ่งมีความอันตรายแฝงอยู่ เนื่องจากทำให้เราประเมินตนเองเก่งเกินกว่าความเป็นจริง ทำให้มองข้ามปัจจัยด้านอื่น ๆ ที่จะส่งผลต่อสิ่งที่จะเกิดขึ้นต่อไป

โดยเฉพาะอย่างยิ่งการเทรดด้วยแนวทางเทคนิค หลักการเทคนิคอล คือ การเข้าซื้อที่จุดเริ่มต้นของแนวโน้ม และ ขายเมื่อยืนยันแล้วเมื่อเทรนด์นั้นจบลง เพราะฉะนั้น การมองกราฟหุ้นที่เสร็จแล้ว เทรนด์วิ่งจบแล้ว ดูเป็นเรื่องง่ายดายเสียเหลือเกิน นี่นะ ฉันก็จะซื้อตรงนี้ ตอนที่ราคาตัดเส้นค่าเฉลี่ย RSI พ้นระดับ Oversold แล้วไปขายตรงโน้น แถว ๆ ที่ EMA มีความชันลดลง ถือเป็นการจบรอบ ว่ากันเป็นฉาก ๆ กำไรชัวร์ เก่งไหมล่ะ? นี่คือการโดน Hindsight Bias แบบเต็ม ๆ ทำให้คิดว่าโอ๊ย!! เทคนิคเป็นเรื่องหมู ๆ มือใหม่เข้ามาจะพลาดตรงจุดนี้กันเยอะและจะโดนตลาดเล่นงานเยอะครับ

เพราะฉะนั้นการเทรดจริงสิ่งที่คุณจะเจอไม่ใช่กราฟที่แนวโน้มจบแล้วสวยงามตลอดเวลา ที่หน้างาน หน้าที่ของเทรดเดอร์จะต้องหาจังหวะการเริ่มต้นของแนวโน้มให้เจอและถือไป จนถึงเป้า จะเป็นเป้าไหนก็แล้วแต่ รูปร่างหน้าตาของกราฟตอนที่เกิดสัญญาณเทรดมีลักษณะอย่างไร เป็นสิ่งที่ต้องฝึกดูให้คุ้นชิน ภาพที่เห็นเป็นอย่างไรลองมาดูกัน

นี่คือกราฟ AOT แสดงแนวโน้มรอบขาขึ้นตั้งแต่กลางปี 2016 จนถึงต้นปี 2018 จะเห็นว่าราคาปรับตัวขึ้นไปราว 45% เห็นอย่างนี้ก็สบายล่ะ ก็ไปหาหุ้นดี ๆ อย่าง AOT ให้เจอ ทำการซื้อจากทางด้านซ้ายไปขายทางด้านขวาของกราฟ การลงทุนเทคนิคอลนี่แค่นี้เองเหรอ……เดี๋ยว ๆ ลองมาดูก่อนที่จะหุ้นตัวนี้จะแรลลี่กันดีกว่า

สัญญาณซื้อตัวนี้เป็นจังหวะที่ราคาทะลุแนวต้านและทำ All Time High ที่ราคา 44 บาท (หรือ 440 บาทก่อนแตกพาร์) ลองดูทรงกราฟสิครับ จังหวะตอนนั้นอย่างยากเลยที่จะตัดสินใจซื้อ เพราะเราไม่เห็นอนาคต ราคานี้แพงไปไหม ขึ้นมาเยอะแล้ว กลัวติดดอย นี่ยังไม่รวมค่า P/E ของฝั่งปัจจัยพื้นฐานที่สูงลิบ เพราะฉะนั้นสิ่งที่ควรจะฝึกฝนก็คือการดูกราฟทั้ง 2 รูปแบบควบคู่กันไป ตัวที่เสร็จแล้วดูเพื่อการศึกษาพอเป็นไอเดีย ส่วนกราฟจังหวะซื้อขายดูเพื่อพัฒนาฝีมือการเทรดให้เฉียบคมยิ่งขึ้น

อีกประเด็นหนึ่ง อคติรู้งี้ทำให้การดูกราฟย้อนหลังด้วยตนเองของระบบทางเทคนิคนั้นเป็นการเข้าข้างตัวเองเกินไป เช่น คนที่เสาะหาเทคนิควิธีใหม่ ๆ จะย้อนดูกราฟตามเงื่อนไขที่ตนเองคิดค้นขึ้น เมื่อใดกราฟเป็นไปตามระบบนั้นจึงบอกว่านี่ไงเป็นสัญญาณเข้าซื้อด้วยวิธีนี้ถูกต้องแล้ว และมองข้ามชุดของการเทรดที่ไปในทางตรงกันข้ามทั้ง ๆ ที่จุดเข้าสถานะนั้น มีเงื่อนไขแบบเดียวกันเป๊ะ จากนั้นจึงนำเอาระบบนี้ไปใช้ในการเทรดจริง ทำให้มีโอกาสสร้างความเสียหายได้

เทรดเดอร์ทั้งหลายควรระมัดระวังไม่ให้ Hindsight Bias มีผลต่อการประเมิน และตัดสินใจในการลงทุน โอกาสต่อ ๆ ไป จะมากล่าวถึง Bias อื่น ๆ ซึ่งหากเรารู้เท่าทันก็จะช่วยให้เทรดได้ดีขึ้นและประสบผลสำเร็จได้ครับ